ฉีดวัคซีนฟรี
MED4U

ข้อเสื่อม

78 จำนวนผู้เข้าชม |

08/12/2023


ข้อเสื่อม

          ข้อเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะการสึกกร่อนของกระดูกอ่อน ที่บุอยู่บนผิวข้อต่อกระดูกเกิดจากใช้งานข้อมากเกินไป หรือใช้ผิดวิธี หรือข้อเสื่อมจากอายุมากขึ้น พบมากในผู้ป่วยเพศหญิงอายุมากกว่า 50 ปี ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก เคยมีประวัติการได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อ การใช้ข้อซ้ำๆ อยู่นานๆ เช่น การเดินขึ้นลงบันได การนั่งงอเข่า การยืนนาน ๆ เป็นตัน โรคข้อเสื่อมมักเกิดกับข้อเข่า ข้อกระดูกสันหลังระดับเอว และคอข้อนิ้วมือ และข้อสะโพก โดยจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อทำให้ชิ้นกระดูกที่ถูกคั่นด้วยกระดูกอ่อนเกิดการกระแทกกันได้เมื่อมีการลงน้ำหนักส่งผลให้เกิดการอักเสบ ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมอาจจะมีอาการปวดข้อ ข้อขัด ข้อบวม และผิดรูป การทำงานของข้อเสียไป การเคลื่อนไหวของข้อลดลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจมีผลทำให้ข้อผิดรูปและพิการได้

 

คำแนะนำผู้ป่วย

การป้องกันอาการกำเริบ

  • การลดน้ำหนักจะช่วยลดแรงกดบริเวณข้อได้ดี
  • การทำกายภาพบำบัด และใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อลดแรงกระแทกบริเวณข้อ เช่น สายรัดหัวเข่า-พยุงกล้ามเนื้ออาจช่วยลดอาการปวดได้

การจัดการ

  • ประคบอุ่นหรือประคบเย็นในบริเวณที่ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
  • ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบเข่าหรือ ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เป็นเวลาอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อที่มีอาการปวดหรืออักเสบ
  • ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคและการใช้ยารักษาหรือบรรเทาอาการต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของการรักษาสูงสุดโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม
  • ออกกำลังกายแบบไทชิหรือรำไทเก๊ก ช่วยให้เกิดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและข้อ เสริมความสมดุลร่างกาย ซึ่งจะช่วยป้องกันการพลัดตกหกล้ม โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคข้อเข่าหรือสะโพกเสื่อม

 

ทางเลือกในการรักษา

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

  • Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs (NSAIDs) เป็นยาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายเพื่อลดอาการปวดและบวมของข้อ โดยการยับยั้งการสร้าง prostaglandin ยาในกลุ่มนี้มักก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ระคายเคืองหรือเป็นแผลในกระเพราะอาหาร รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเฉียบพลันในผู้ป่วยบางราย ดังนั้นการใช้ยาในกลุ่มนี้ ควรได้รับการประเมิณอย่างเหมาะสมโดยแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
    • ขนาดและวิธีการบริหารยา (Dosage & Administration) :

 

 

ยา

ขนาดยารับประทานในผู้ใหญ่

ยา

ขนาดยารับประทานในผู้ใหญ่

Loxoprofen

D: 60 มก. วันละ 3 ครั้ง หรือ 120 มก.วันละครั้ง 

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Aspirin

D: 300-900 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุด: 4,000 มก.

ต่อวัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Mefenamic acid

D: 250-500 มก. วันละ 3 ครั้ง

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Meloxicam

D: Tab: 7.5 -15 มก. วันละครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 15 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีหากมีอาการระคาย

เคืองกระเพาะอาหาร

Diclofenac

D: Tab: 50 มก. วันละ 2-3 ครั้ง

DR tab: 75-100 มก./วัน

แบ่งให้วันละ 2-3 ครั้ง

ER tab: 75 มก. วันละ 1-2 ครั้ง 100 มก. วันละ 1 ครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 150 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Nabumetone

D: 1,000 มก. วันละครั้ง โดยอาจรับประทานเพิ่มอีก 500-1,000 มก. ในตอนเช้า หากมีอาการปวดเพิ่มเติม ขนาดยาสูงสุด: 2,000 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที เพื่อลดการระคาย

เคืองกระเพาะอาหาร

Etodolac

D: Cap: 200 มก. ทุก 6-8 ชั่วโมง หรือ 400 มก. ทุก 12 ชั่วโมง

ขนาดยาสูงสุด: 1,000 มก. ต่อวัน

ER tab: 400-800 มก. วันละครั้ง

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Naproxen

D: 250-500 มก. วันละ 2 ครั้ง

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Fenbufen

D: 900 มก./วัน โดยอาจแบ่งเป็น 300 มก. ตอนเช้า และ 600 มก. ตอนเย็น

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Piroxicam

D: 10-20 มก. วันละครั้ง ขนาดยาสูงสูต: 20 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Floctafenine

D. 200-400 มก. ทุก 6-8 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุด 1,200 มก./วัน

Proglumetacin

D: 150-300 มก. วันละ 2 ครั้งขนาดยาสูงสุด 600 มก./วัน

 

 A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Flurbiprofen

D: 50 มก. วันละ 2-4 ครั้ง หรือ 100 มก. วันละ 2 ครั้ง ขนาดยาสูงสุด : 300 มก./วัน (เฉพาะกรณีจําเป็นเท่านั้น)

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Sulindac

D: 150-200 มก. วันละ 2 ครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน

 

A:รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Ibuprofen

D: Tab/cap: 400-800 มก. วันละ 3-4 ครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 3,200 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Tenoxicam

D: 20 มก. วันละครั้ง

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Indometacin

D: Cap: 25 มก. วันละ 2-3 ครั้ง อาจพิจารณาเพิ่มขนาดยา ครั้งละ 25-50 มก. เว้นระยะห่างประมาณ 1 สัปดาห์ต่อการ ปรับแต่ละครั้ง จนได้ขนาดยา 150-200 มก./วัน ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Tiaprofenic Acid

D: 200-300 มก. วันละ 2-3 ครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 600 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

Ketoprofen

D: Cap: 100 มก. วันละ2 ครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 300 มก./วัน

PR cap:100 -200 มก. วันละครั้ง ขนาดยาสูงสุด: 200 มก./วัน

 

A: รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันที

 

D-dosage (ขนาดยา) A-administration (วิธีการบริหารยา) DR-delayed release ER-extended-release PR-prolonged release Tab-tablet(s) DR Tab-delayed release tablet(s) PR Cap-prolonged release capsule(s) Cap-capsule(s) มก. -มิลลิกรัม

 

 

 

  • คำแนะนำ
    • ยาในกลุ่มนี้ ควรพิจารณาหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีแผลในทางเดินอาหาร หรือมีอาการอักเสบของทางเดินอาหาร ผู้ป่วยโรคหืด มีประวัติแพ้ยากลุ่ม NSAIDs หรือ aspirin หรือเคยได้รับการผ่าตัด ผ่าตัดทำทางเบี่ยงเส้นเลือดหัวใจ ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไตวาย และโรคตับวาย
    • ยากลุ่ม salicylates เช่น aspirin ควรระมัดระวังการใช้ในเด็ก เนื่องจากอาจก่อให้เกิด Reye’s syndrome ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
  • ยากลุ่ม Selective cyclooxygenase-2 (COX-2) inhibitors เช่น celecoxib และ etoricoxib มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาอาการปวดในโรคข้อเสื่อมและโรคข้อรูมาตอยด์
    • ขนาดยาและวิธีการบริหารยา 

(Dosage and Administration) :

 

ยา

ขนาดยารับประทานในผู้ใหญ่

ยา

ขนาดยารับประทานในผู้ใหญ่

Lecoxib

D: 200 มก. วันละ1-2 ครั้ง

ขนาดยาสูงสุด: 400 มก./วัน

 

A: อาจรับประทานตอนท้องว่างหรือหลังอาหารได้

Etoricoxib

D: 30-90 มก. วันละครั้ง

 

A: อาจรับประทานตอนท้องว่างหรือหลังอาหารได้

D-dosage (ขนาดยา) A-administration (วิธีการบริหารยา) มก.-มิลลิกรัม

 

·        ยากลุ่ม NSAIDs และ selective COX-2 Inhibitor มีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือดแดง ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงยังทำให้เกิดแผลหรือเลือดออกในทางเดินอาหารได้

  • การใช้ยาแก้ปวดร่วมกับยากลุ่ม NSAIDs เช่น การใช้ยา Paracetamol ร่วมกับ ibuprofen ช่วยลดอาการปวดได้เร็วขึ้นในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม
  • ยา NSAIDs ชนิดทาภายนอก เช่น diclofenac, diethylamine, salicylate, ibuprofen, ketoprofen และ piroxicam ในรูปแบบครีม เจล สเปรย์ หรือแผ่นแปะ สามารถใช้เพื่อเสริมการรักษาอาการปวดได้เช่นกัน

ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่กลุ่ม Opioids

  • ยาแก้ปวดชนิดอ่อน เช่น paracetamol ช่วยบรรเทาอาการปวดในโรคหรือความผิดปกติเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและข้อได้
    • ยา paracetamol มีฤทธิ์ลดอักเสบอย่างอ่อน การใช้โดยทั่วไปมีความปลอดภัย

ยาแก้ปวดกลุ่ม Opioids 

  • ยาแก้ปวดกลุ่ม Opioids เช่น tramadol อาจใช้ในการลดอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือกรณีที่ไม่สามารถใช้ยากลุ่ม NSAIDs ได้ เช่น มีประวัติแพ้ยาหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา อย่างไรก็ตามการใช้ยากลุ่ม Opioids นี้ควรได้รับการประเมินและติดตามการใช้ยาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น dexamethasone, hydrocortisone, methylprednisolone, prednisolone, triamcinolone มีประสิทธิภาพในการลดอาการอักเสบของข้อได้ดี ดังนั้นจึงมักถูกใช้ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือมีอาการอักเสบของข้อหลายตำแหน่ง และมักใช้ยาในระยะสั้นๆ เท่านั้น
  • การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์นั้นไม่ได้ช่วยชะลอการรุดหน้าของโรค ดังนั้นการใช้ยาในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็น เนื่องจากการใช้ยาในระยะยาวจะก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง กระดูกพรุน โรคต้อหิน หรือผิวหนังบางได้

ยาอื่นๆ  ในระบบกล้ามเนื้อและกระดูก

  • Chondroitin เป็นสารที่มีหลักฐานสนับสนุนประโยชน์ในผู้ป่วยโรคข้อมือเสื่อม (hand osteoarthritis)
  • Sodium hyaluronate เป็นสาร polysaccharide ของ Sodium glucuronate และ N-acetyl-glucosamine ที่มีการใช้ฉีดเข้าข้อเข่าเพื่อบรรเทาอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม

 

© 2024 Company, Inc