181 จำนวนผู้เข้าชม |
08/12/2023
ท้องผูก
การขับถ่ายของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันและมีลักษณะเป็นปกติของตนเอง ซึ่งอาจมีความถี่ได้ตั้งแต่ 2-3 ครั้งต่อวัน ไปจนถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นหากความถี่ของการขับถ่ายลดลงหรือห่างมากกว่าเดิมจะเรียกภาวะนี้ว่า ท้องผูก (Constipation) ทำให้อุจจาระมีการสะสมในลำไส้มากขึ้น มีลักษณะแข็งทำให้ถ่ายลำบาก ในกรณีที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้ลำไส้อุดตัน ได้ ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการท้องผูก ได้แก่ ภาวะขาดน้ำการรับประทานอาหารมากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย อั้นการขับถ่ายบ่อยๆหรืออาจเกิดจากอาการข้างเคียงจากยาบางชนิดได้
คำแนะนำผู้ป่วย
· เมื่อรับประทานใยอาหารเป็นอาหารเสริมควรเริ่มรับประทานในขนาดต่อกรัม เช่น 5 กรัมต่อวัน และค่อยๆ ปรับเพิ่มปริมาณขึ้นไปจนถึง 20-35 กรัมต่อวัน
· หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้ท้องผูก เช่น ชา กาแฟ กล้วยดิบ ชีส
· ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
· ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ประมาณ 10-15 นาทีต่อครั้ง เพื่อช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
· พยายามกำหนดเวลาในการขับถ่าย และหลีกเลี่ยงการนั่งถ่ายเป็นเวลานานๆ เช่น อ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย
· หลีกเลี่ยงการอั้นการถ่ายอุจจาระ
การส่งต่อแพทย์
· อาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงภายใน 1 สัปดาห์หลังจากปรับพฤติกรรมและใช้ยาอย่างเหมาะสม
· น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
· รู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น
· ท้องผูกหรือท้องอืดติดต่อกันเป็นเวลานาน
· การขับถ่ายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ทางเลือกในการรักษา
ยาระบาย ยาถ่าย (Laxative, Purgative)
· ยาระบายประเภทเพิ่มกากอาหาร (Bulk-Forming Laxative เช่น Ispaghula หรือ Psyllium, Methylcellulose และสารประกอบที่เกี่ยวข้อง Polycarbophil และ Sterculia ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ช้า แต่รบกวนการทำงานของลำไส้น้อยกว่ายาระบายกลุ่มอื่น สารเหล่านี้อุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรตัวเองหลายเท่า จึงเพิ่มปริมาตรของอุจจาระและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ยาระบายประเภทนี้ออกฤทธิ์ภายใน 12-24 ชั่วโมง ต้องรับประทานยากลุ่มนี้กับน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการอุดตันของลำไส้ อาการข้างเคียงของยาระบายกลุ่มนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ห้ามใช้ยานี้ในกรณีลำไส้อุดตันหรืออัดแน่นไปด้วยอุจจาระที่แข็ง
· ยาระบายประเภทออสโมติก (Osmotic Laxative) เช่น Lactulose, Macrogol, Magnesium Preparations, Sodium Sulfate และ Sorbitol ยากลุ่มนี้ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอจึงจะได้ผลที่ต้องการ
o ยา Macrogol มักใช้ในกรณีให้ถ่ายอุจจาระก่อนการผ่าตัดหรือการตรวจลำไส้
o Lactulose อาจใช้ในการรักษาท้องผูกในระยะยาวได้แต่มักทำให้เกิดอาการปวดเกร็งท้อง หรือระดับเกลือแร่ในเลือดผิดปกติได้
o Glycerin ที่เป็นยาสวนทวารใช้บรรเทาอาการท้องผูกเป็นครั้งคราวได้
· ยาระบายประเภทกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Stimulant Laxative) เช่น Bisacodyl, Cascara, Phenol-phthalein, Senna และ Sodium Picosulfate ยากลุ่มนี้ ออกฤทธิ์เร็ว และใช้เฉพาะเมื่อการรักษาแบบอื่นไม่ได้ผลยานี้ออกฤทธิ์ที่ปลายประสาทในผนังลำไส้ กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวและลำไส้บีบตัวมากขึ้น ไม่ควรใช้ยาระบายกลุ่มนี้นานเกิน 1 สัปดาห์ เนื่องจากอาจทำให้ปวดท้องเกร็งและท้องเสีย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์ อนึ่งน้ำมันละหุ่ง (Castor Oil) เป็นยาระบายในกลุ่มนี้ที่มีความปลอดภัยต่ำมาก จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ และห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์โดยเด็ดขาด
· ยาระบายประเภทหล่อลื่น (Lubricant) เช่น Mineral Oil ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ต้องนอนนิ่งเป็นเวลานานที่มีอาการท้องผูก หรือผู้ป่วยที่มีอุจจาระอัดแน่น หรือผู้ที่มีริดสีดวงทวารร่วมด้วย
· ยาระบายประเภททำให้อุจจาระนุ่ม (Emollient Laxative) เช่น Docusate ยากลุ่มนี้ทำให้อุจจาระนุ่มลง โดยเพิ่มน้ำให้แทรกเข้าไปในอุจจาระ
· ยากลุ่ม Chloride channel activators เช่น lubiprostone ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มน้ำในลำไส้เพื่อช่วยให้การขับถ่ายมีความสะดวกมากขึ้น ยานี้ใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง ที่ไม่ทราบสาเหตุโดยทั่วไป ยาระบายอาจทำให้การดูดซึมวิตามินหรือยาในลำไส้ลดลงได้ และอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้ขี้เกียจ (Lazy bowel syndrome) ซึ่งเป็นลักษณะของการติดการใช้ยาระบายรูปแบบหนึ่ง
· ยากลุ่ม Selective 5-HT4 receptor agonists เช่น prucalopride ใช้สำหรับรักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง ที่ไม่ตอบสนองต่อยาระบาย อื่นๆ
การรักษาอื่นๆ
· Biofeedback therapy เป็นการฝึกขับถ่ายให้เป็นธรรมชาติ โดยการฝึกการเบ่งและฝึกกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ซึ่งจะทำซ้ำๆ จนผู้ป่วยเรียนรู้วิธีเบ่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด
© 2024 Company, Inc