โรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วง (Diarrhea) เป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวและบ่อยผิดปกติตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย อาจเกิดจากการเปลี่ยนชนิดอาหารที่รับประทาน การย่อยอาหารบางชนิดไม่สมบูรณ์ (เช่น น้ำตาลแลคโตส ) โรคลำไส้อักเสบ ผลจากยาบางชนิด (เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของแมกนีเซียม) การติดเชื้อแบคทีเรีย อะมีบา หรือไวรัส อาการส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เอง แต่ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะทำให้มีภาวะขาดน้ำและสูญเสียเกลือแร่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โคยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที
การส่งต่อแพทย์
- เมื่อมีอาการท้องเสียติดต่อกันมากกว่า 3 วัน หรือมากกว่า 2 วันในผู้สูงอายุ
- มีอาการไข้ หรืออาเจียนรุนแรงร่วมกับท้องเสีย
- มีประวัติการขับถ่ายที่เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ
- ตั้งครรภ์
การป้องกัน
- หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาด จะช่วยกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ ที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียที่ติดมากับมือ
- ล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ล้างมือ (ความเข้มข้นอย่างน้อย 60% โดยปริมาตรในน้ำ [v/v]) หลังจากเข้าห้องน้ำ ทำอาหารที่มีส่วนประกอบขอองเนื้อดิบ หรือไอ-จาม
- ระมัดระวังในการบริโภคเครื่องดื่มหรืออาหาร โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อโรค
- รับประทานผักผลไม้ที่ล้างหรือปอกเปลือกด้วยตนเอง
- รับประทานอาหารที่ล้างทำความสะอาดอย่างเหมาะสม และปรุงสุกหรือผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำประปาหรือกินน้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปา
การจัดการ
- ดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- หลีกเลี่ยงอาหารมัน ย่อยยาก หรือผลิตภัณฑ์นม ต่างๆ
ทางเลือกในการรักษา
ยาแก้ท้องเสีย (Antidiarrheals)
- สารเพิ่มกากและสารดูดซับ (Bulk-Formers and Ad-Sorbents) เช่น activated charcoal, attapulgite, kaolin และ smectite จะดูดน้ำและพองตัวทำให้อุจจาระเป็นก้อนเหลวน้อยลง สารเหล่านี้ยังดูดซับสารพิษที่ทำให้ท้องเสีย แต่สารดูดซับพิษเหล่านี้อาจทำให้พิษถูกขับออกช้าลง ดังนั้นไม่ควรใช้สารเหล่านี้นานเกินกว่า 2 วัน และไม่ควรใช้เมื่อมีอาการไข้ร่วมด้วย
· Kaolin เป็นสารที่มักใช้ร่วมกับยาแก้ท้องเสียชนิดอื่นๆ เช่น pectin
- ยาปฏิชีวนะ เช่น furazolidone, nifuroxazide และ paromomycin อาจใช้ในการรักษาท้องเสียจากการติดเชื้อ
- ยากลุ่ม fluoroquinolone เช่น ciprofloxacin, norfloxacin และยากลุ่ม tetracyclines เช่น doxycycline เป็นยาปฏิชีวนะที่เหมาะแก่การรักษาอาการท้องเสียจากการติดเชื้ออหิวาต์ จากเชื้อVibrio cholerae ซึ่งมีอาการท้องร่วงรุนแรง อุจจาระไหลพุ่งลักษณะเหมือนน้ำซาวข้าว อาเจียนโดยไม่มีอาการปวดท้องหรือคลื่นไส้นำมาก่อนและมักมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง การใช้ยา doxycycline อาจรบกวนการสร้างกระดูกฟัน ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี ส่วนยากลุ่ม fluoroquinolones ควรรับประทานก่อนอาหารและหลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมนมหรือยาลดกรด หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมและหลีกเลี่ยงการใช้ในเด็กเล็ก (ต่ำกว่า 6 ปี)
- Antimuscarinics เช่น dicycloverine อาจนำมาใช้กับความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ โดยลดแรงตึงของกล้ามเนื้อเรียบและลดการเคลื่อนไหวของลำไส้
- ยาต้านท้องเสียสูตรผสม ที่มีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ เช่น furazolidone, สารดูดซับ เช่น kaolin และยาต้านอะมีบา เช่น diiodohydrozyquinoline รวมถึงต้านเชื้อแบคทีเรีย เช่น neomycin, rifaximin อาจใช้ในการรักษาท้องเสียจากการติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยมีการจำกัดการใช้ diiodohydrozyquinoline เนื่องจากอาการไม่พึงประสงค์ทางระบบประสาท รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับความเข้ากันของการผสมสารดูดซับ (kaolin) กับยาปฏิชีวนะที่อาจขัดขวางการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อของยาและทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยได้ ทำให้ยาสูตรผสมของยาข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือถอนทะเบียนตำรับยาได้
- ตำรับยาบางชนิดอาจมีส่วนประกอบของเกลือ bismuth ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานอ่อนๆ และอาจช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้
- Probiotics เป็นจุลชีพที่ยังมีชีวิตที่ใช้เสริมการรักษาภาวะท้องเสียเฉียบพลันในเด็ก และป้องกันการเกิดท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งสายพันธุ์ที่มีการใช้ในภาวะท้องเสีย ได้แก่
- Saccharomyces boulardii (CNCM l-745) มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาภาวะท้องเสียจากการติดเชื้อ ป้องกันการเกิดภาวะท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือท้องเสียจากการให้อาหารผ่านทางสายยาง รวมถึงใช้เสริมกับยา vancomycin/metronidazole ในการรักษาและป้องกันการติดเชื้อ Clostridium difficile
- Bacillus clausii มีประโยชน์ในการรักษาและป้องกันอาการท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
- Lactobacillus acidophilus อาจใช้ในกรณีท้องเสียที่ไม่มีอาการแทรกซ้อน
- Lactobacillus acidophilus และ Bifidobacterium animalis ssp. lactis อาจช่วยลดการเกิดอาการท้องเสียภายหลังจากการรักษาภาวะติดเชื้อ H.pylori ได้
- Bovine colostrum อาจใช้เพื่อช่วยลดความถี่และระยะเวลาของอาการท้องเสีย
ยาต้านอะมีบา (Antiamoebics)
- ยากลุ่ม nitroimidazole เช่น metronidazole และ tinidazole สามารถใช้ในการรักษาอาการท้องเสียจากการติดเชื้ออะมีบาได้
- แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการรับประทานยากลุ่มนี้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ propylene glycol ในระหว่างและอย่างน้อย 3 วัน หลังจากรับประทานยามื้อสุดท้าย เพื่อป้องกันการเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หน้าแดง
- แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยา tinidazole พร้อมอาหาร เพื่อลดอาการคลื่นไส้ หรืออาการไม่สบายท้องอื่นๆ
อิเล็กโทรไลต์ (Electrolytes)
- การดูแลภาวะท้องเสียเบื้องตันคือการชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ใช้สารละลายเกลือแร่ชนิดรับประทาน (oral rehydration solution: ORS) ที่มีลักษณะดังนี้
- ออสโมแลลิตี้อยู่ในช่วง 200-310 mOsm/L ซึ่งมีความเข้มขันของน้ำตาล 20g/L หรือ 111 mmol/L เกลือโซเดียม 60-90 mEq/L โพแทสเซียม 15-25 mEq/L ซิเตรต 8-12 mmol/L และคลอไรด์ 50-80 mEq/L
- ขนาดและวิธีการบริหารยา (Dosage & Administration):
ระดับของภาวะขาดน้ำ
|
ขนาดการรับประทาน
|
ไม่มีภาวะขาดน้ำ
|
1 มิลลิลิตร (มล.) ต่อปริมาณอุจจาระที่ถ่าย 1 กรัม หรือ 10 มล./น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม (กก.) ทุกครั้งที่ถ่ายท้อง และ 2 มล./กก. ทุกครั้งที่อาเจียน
|
มีภาวะขาดน้ำเล็กน้อยถึงปานกลาง
|
50-100 มล./กก. ค่อยๆ แบ่งให้ภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะให้ในปริมาตร 10 และ5 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ในแต่ละครั้งที่มีการอุจจาระหรืออาเจียน ตามลําดับ
|
- การทดแทนเกลือแร่ทางหลอดเลือดดำจะให้ในผู้ที่มีภาวะท้องเสียหรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง หรือไม่สามารถรับประทานสารละลายเกลือแร่ทางปากได้