ฉีดวัคซีนฟรี
MED4U

อาหารไม่ย่อย

200 จำนวนผู้เข้าชม |

08/12/2023


อาหารไม่ย่อย (Dyspepsia/Indigestion)

ผู้ป่วยจะมีอาการจุกเสียด แน่นท้อง ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น การรับประทานอาหารมากเกินไป หรือเร็วเกินไป การรับประทานอาหารที่มัน เลี่ยน อาหารรสเผ็ดจัด รวมทั้งมีภาวะเครียด อย่างไรก็ตามอาการที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่แสดงว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติ หรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้เท่านั้น ยังอาจเป็นอาการของโรคอื่นๆได้ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว วัณโรคปอด มะเร็ง และภาวะโลหิตเป็นพิษจากhttps://www.paolohospital.com/th-TH/chokchai4/Article/Details/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81--%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2--%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-- สาเหตุที่ทำให้อาการจุกเสียด แน่นท้องรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ ความเครียด ความเหนื่อยล้า การรับประทานอาหารไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอ และขาดการออกกำลังกาย อาการปวดแน่นท้อง ไม่สบายท้องนั้นนอกจากจะเกิดจากอาหารไม่ย่อยแล้ว ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีโรคอื่น ๆ แอบแฝงอยู่ด้วย จึงควรใส่ใจรักษาโรคแต่เนิ่น ๆ

การป้องกัน

·      ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

o  ไม่เร่งรีบรับประทานอาหาร

o  เคี้ยวอาหารช้า ๆ และเคี้ยวให้ละเอียด

o  หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายทันทีหลังรับประทานอาหาร

·      หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ

o  เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน

o  อาหารที่มีน้ำมันมาก

o  อาหารเผ็ดร้อน

o  อาหารหรือผลไม้รสเปรี้ยวหรือมีความเป็นกรด

การจัดการ

·      ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ความอ้วนส่งผลให้อาการกรดไหลย้อน มีความรุนแรงมากขึ้น

·      แบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ เช่น 5-6 มื้อต่อวันแทนการรับประทานมื้อใหญ่ ๆ วันละ 3 มื้อตามปกติ

·      ควรเว้นการรับประทานอาหารในช่วง 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

·      หลีกเลี่ยงและจัดการความเครียดเนื่องจากเป็นปัจจัยกระตุ้นอาการอาหารไม่ย่อย

·      นอนยกหัวสูงเล็กน้อยเพื่อป้องกันอาการกรดไหลย้อน

การส่งต่อแพทย์

·      มีอาการอย่างต่อเนื่อง

·      น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

·      มีอาการปวดท้องที่เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง

·      มีอาการกลืนลำบาก

·      มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ">อาการตัวเหลือง ตาเหลือง

·      อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด

ทางเลือกในการรักษา

ยาลดกรด ยาลดกรดไหลย้อนและยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร(Antacids, Antireflux Agents & Antiulcerants)

 

·      ยาลดกรด เป็นยาที่เปลี่ยนกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารให้มีสภาพเป็นกลาง ส่วนประกอบในยาลดกรด ได้แก่ aluminium salts, magnesium salts, calcium carbonate และ sodium bicarbonate

·      aluminium ในยาลดกรด จะทำให้ท้องผูก ส่วน magnesiumจะทำให้ท้องเสีย หรือเกิดการระบายได้ การผสมยาสองตัวนี้ในยาลดกรด จะช่วยลดผลข้างเคียงของยาแต่ละตัวได้

·      สารประกอบเชิงซ้อน (complexes) ที่มีอะลูมิเนียมและแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบ เช่น polymigel เป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษา ซึ่งมีการออกฤทธิ์เร็วและนานขึ้น

·      ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของ sodium เช่น sodium bicarbonate ปริมาณสูง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต หรือผู้ป่วยตั้งครรภ์

·      ยาลดกรดเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมียาบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อผสมอยู่ด้วย เช่น simethicone และdimethicone

·      ยาลดกรดบางชนิดอาจมีส่วนประกอบของยาชาเฉพาะที่เพื่อลดอาการปวด-แสบร้อน เช่น sulcain, oxetacaine

·      ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร (antiulcerants) ยากลุ่มนี้ใช้รักษา และป้องกันอาการปวดจากแผลในกระเพาะอาหารโดยแบ่งเป็น ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร (anti-secretory agents) เช่น H2-Blockers และ protonpump inhibitors และยาป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหาร (cyto-protective or mucosal protectant) เช่น sucralfate, teprenone, aluminium และ bismuth-contanting antacids

·      H2-Blockers ได้แก่ cimetidine, famotidine และ ranitidine ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ใช้ระยะสั้น เพื่อบรรเทาอาการและป้องกันอาหารไม่ย่อย โดยการจับกับ histamine receptors บนผนังกระเพาะอาหาร ลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร ยาเหล่านี้เป็นยาที่ปลอดภัย ถ้าใช้ยากลุ่มนี้ไม่ได้ผลดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์

·      Proton pump inhibitors เช่น omeprazole, esomeprazole, lansoprazole, pantoprazole และ sodium rabeprazole ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์แรงในการยับยั้งการหลั่งกรด โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ H+/K+ ATPase (proton pump) ที่ใช้สร้างกรดในกระเพาะอาหาร

·      Potassium-competitive acid inhibitors เช่น vonoprazan ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดโดยการจับกับโพแทสเซียมใน parietal cell

·      Misoprostol เป็นอนุพันธ์ของ prostaglandin E1 ใช้ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ยาตัวนี้ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะทำให้แท้งบุตรได้

ยาปรับการทำงานของทางเดินอาหาร ยาแก้ท้องอืดและยาต้านการหดเกร็ง (GIT Regulators, Antiflatulents & Antispasmodics)

·      ยาปรับการทำงานของทางเดินอาหาร ได้แก่ domperidone, itopride, metoclopramide, mosapride หรือ tegaserod เพื่อช่วยเร่งการบีบตัวของลำไส้

·      ยาแก้ท้องอืด ได้แก่ simethicone และ dimethiconeใช้ขับแก๊สในกระเพาะลำไส้ ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย

·      ยาต้านการหดเกร็ง เป็นยาที่ช่วยลดอาการปวดเกร็งช่องท้อง

ยาช่วยย่อยอาหาร (Digestives)

·      ยาต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เช่น cimetidine จะนำมาใช้ร่วมกับยาช่วยย่อยอาหาร เช่น pancreatin เพื่อลดการทำลายยา pancreatin จากกรดในกระเพาะอาหาร

·      ยาช่วยย่อยอาหารอื่น ๆ เช่น amylase, diastase, biodla-stase, cellulase, lipase, mamylase และ protease เพื่อช่วยย่อยอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่

© 2024 Company, Inc