ฉีดวัคซีนฟรี
MED4U

ต้องระวัง 5 โรคติดต่อในเพศสัมพันธ์

228 จำนวนผู้เข้าชม |

12/12/2023


ต้องระวัง 5 โรคติดต่อในเพศสัมพันธ์

การมีเพศสัมพันธ์นั้นถือเป็นเรื่องธรรมชาติแต่บางครั้งอาจจะเป็นสาเหตุในการเกิดโรคหากไม่ดูแลความสะอาดหรือความปลอดภัย วันนี้เรามาดูกันว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีโรคอะไรบ้างที่ควรรู้ อาการและความรุนแรงเป็นอย่างไร

5 โรคติดต่อในเพศสัมพันธ์

1.HPV เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากในผู้ชาย และเป็นสาเหตุทำให้เกิดหูดหงอนไก่ตามบริเวณอวัยวะเพศทั้งภายนอกและภายใน รวมบริเวณใกล้เคียงต่างๆ เกิดจากเชื้อไวรัส Human papilloma virus ที่มีระยะฟักพักตัวตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป

อาการ

โดยส่วนมาก HPV มักแสดงรอยโรคออกมาได้ 2 ลักษณะ คือ อาการของหูดหงอนไก่ ที่จะมีลักษณะติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำปลีขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนักและง่ามขา และอาการของโรคมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งช่องปาก

แนวทางการป้องกันและรักษา

การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน HPVและหากติดเชื้อ HPV การรักษาการติดเชื้อ HPV จะแตกต่างกันไปตามโรคที่เกิด

 

2.เริม เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ชื่นชอบผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ จะใช้เวลาในการฟักตัวสักพักถึงจะแสดงอาการ เมื่อหายดีแล้วเชื้อชนิดนี้ก็มักจะแอบซ่อนอยู่ในปมประสาทใต้ผิวหนังจะแสดงเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ

เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus (HSV) มีอยู่ 2 ชนิด คือ HSV Type 1 ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และ HSV Type 2 ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อาการ

โรคเริม มักมีแผลบวมแดง มีตุ่มพองใสๆ ขึ้นบริเวณ อวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือปาก มีอาการคัน หากตุ่มพองใสแตกจะปดแสบปวดร้อนบางรายอาจมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้ผิวหนังที่ติดเชื้อโตได้

แนวทางการป้องกันและรักษา

สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสทั้งชนิดทานและชนิดทา หากอาการไม่รุนแรงสามารถหายเองได้โดยไม่ต้องใช้ยา ต้องรักษาความสะอาดบริเวณผิวที่เป็นตุ่มพองด้วยสำลีชุบน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ หากมีไข้ให้รับประทานยาพาราเซตามอล และพักผ่อนให้เพียงพอ

3.ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ ซิฟิลิสสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางแผลเล็กๆ บนผิวหนังเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum โดยมีระยะฟักตัว 1-90 วัน

อาการของซิฟิลิสแบ่งอาการออกเป็น 4 ระยะ

·      ระยะที่ 1 จะมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นตามบริเวณอวัยวะเพศ ริมฝีปาก ลิ้น และหัวนม จากนั้นจะแตกเป็นแผลมีน้ำเหลืองไหล ระยะแรกนี้สามารถหายได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์แต่เชื้อของซิฟิลิสจะยังคงดำเนินต่อไป

·      ระยะที่ 2 เชื้อซิฟิลิสที่อยู่ในต่อมน้ำเหลืองจะเริ่มเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่นขึ้นโดยเฉพาะฝ่ามือ ฝ่าเท้า ในขณะที่บางคนอาจไม่พบอาการแสดงใดๆ

·      ระยะที่ 3 เป็นระยะแฝงที่ไม่พบอาการ สามารถตรวจพบได้ผ่านการตรวจเลือด

·      ระยะที่ 4 เชื้อเข้าไปทำลายระบบสมองและอวัยวะต่างๆ ผิวหนังเป็นก้อนนูนแตกเป็นแผล ตาบอด หูหนวก สมองพิการ เส้นเลือดหัวใจโป่งพอง ซึ่งเป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

แนวทางการป้องกันและรักษา

การใช้ยาปฏิชีวนะ กลุ่มเพนิซิลลินในขนาดสูงที่แพทย์นัดเป็นประจำ

4.หนองในแท้หนองในเทียม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งโรคหนองในสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ หนองในแท้และหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียแต่เป็นคนละชนิดกัน หนองในแท้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae และหนองในเทียมเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis

อาการ

หนองในแท้ ในผู้ชายอาจมีหนองขาวขุ่นหรือเขียวไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ ร่วมกับอาการเจ็บลึกๆผู้หญิงอาจไม่มีอาการหรืออาการแสดงน้อย เช่น ตกขาวผิดปกติ หนองในเทียม อาการมักคล้ายกับหนองในแท้แต่รุนแรงน้อยกว่า

แนวทางการป้องกันและรักษา

ต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และหากยิ่งได้รับการรักษาเร็วยิ่งช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากยิ่งขึ้น

5.Human Immunodeficiency Virus(HIV) เป็นเชื้อที่สามารถติดกันได้ผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆโดยเชื้อจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเอดส์ แต่เชื้อจะอยู่ในร่างกายตลอดไป และเชื้อเอชไอวีนี้สามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกได้เกิดจากเชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus

อาการ

ในระยะแรกมักจะไม่แสดงอาการให้เห็น แต่เมื่อภูมิคุ้มกันลดต่ำ ร่างกายอ่อนแอ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสได้ง่าย

แนวทางการป้องกันและรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาผู้ติดเชื้อให้หายขาด แต่มียาต้านไวรัสหากรับประทานตั้งแต่เนินๆและต่อเนื่องจะช่วยลดความเสียงของการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น สำหรับใครที่มีความกังวลใจว่าตัวเองอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และมีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถเข้าปรึกษาแพทย์และตรวจร่างกายเพื่อประเมินหาความเสี่ยงต่อโรคได้

© 2024 Company, Inc