290 จำนวนผู้เข้าชม |
14/12/2023
วางแผนวัคซีนพื้นฐานเพื่อลูกรัก เสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากโรคร้าย
เด็กเล็กยังอยู่ในวัยที่ไม่สามารถบอกความรู้สึกของตนเองได้ อีกทั้งภูมิต้านทานในร่างกายยังไม่แข็งแรง ส่งผลให้เด็กมักเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติ ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง จึงควรสร้างความภูมิคุ้มกันต่อโรคให้กับลูกเล็กตั้งแต่ยังแบเบาะ เพื่อลดโอกาสในการก่อโรคไม่ให้ความเจ็บป่วยมาเป็นอุปสรรคในการเติบโตของช่วงวัย
วัคซีนพื้นฐาน
การฉีดวัคซีน คือทางเลือกหนึ่งในการการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคก่อนจะกลายเป็นอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงในอนาคตโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ร่างกายยังไม่แข็งแรง จึงแนะนำว่าเด็กเล็กทุกคนควรได้รับวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ อย่างเหมาะสม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายและลำดับวัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นต่อเด็กเล็ก มีดังนี้
1. วัคซีนวัณโรค (BCG ) : วัคซีนชนิดฉีดเพียง 1 เข็ม เมื่อครั้งแรกคลอดหรือก่อนกลับบ้าน หลังรับวัคซีนแล้ว 3 - 4 สัปดาห์ จะมีตุ่มแดงตรงจุดที่ได้รับวัคซีน อาจมีหนองหรือไม่มีก็ได้ เพียงใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกทำความสะอาดให้แผลแห้งอยู่เสมอก็จะหายไปเองใน 3 - 6 สัปดาห์
2. วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) : วัคซีนชนิดฉีด 3 เข็ม สามารถฉีดได้หลายวิธี เช่น เริ่มฉีดเข็มที่ 1 เมื่อแรกเกิด เข็มที่ 2 เมื่อมีอายุครบ 1 เดือน และเข็มที่ 3 เมื่อเด็กครบ 6 เดือน สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากไวรัสตับอีกเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งตับ และตับแข็งในผู้ใหญ่
3. วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (TdaP) : วัคซีนชนิดฉีดรวมโรค 3 เข็ม ฉีดเมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ หลังจากนั้นควรฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีก 3 ครั้ง ในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน และอายุ 4-6 ปี อายุ 10-12 ปี หลังจากนั้นควรฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี
4. วัคซีนโรคฮิป (Hib) : โรคฮิป เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่วนมากทำให้เกิด โรคปอดอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ป้องกันด้วยวัคซีนชนิดฉีด 3 เข็ม เมื่อมีอายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับและสามารถฉีดเข็มกระตุ้นอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปี 6 เดือน
5. วัคซีนโรต้า : ป้องกันโรคท้องเสียจากhttps://www.synphaet.co.th/children-ramintra/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AArotavirus%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/ ลดความรุนแรงของอาการอาเจียนและท้องร่วงที่พบบ่อยในเด็กได้ด้วยวัคซีนชนิดกิน แบบพื้นฐานคือ Monovalent (Human) ให้กิน 2 ครั้ง เมื่ออายุ 2 และ 4 เดือน หากเป็นวัคซีนเสริมคือ Pentavalent (Bovine- Human) กิน 3 ครั้ง เมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน
6. วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR) : 3 โรคที่ติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็วผ่านละอองจากการหายใจ ป้องกันได้ด้วยวัคซีนชนิดฉีด 2 เข็ม เริ่มฉีดเข็มที่ 1 เมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 18-24 เดือน
7. วัคซีนโปลิโอ : แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดกิน(OPV) 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน, 1 ขวบครึ่ง และตอนอายุ 4 เดือน ต้องได้รับวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด(IPV)ร่วมด้วยอีก 1 เข็มเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ในขณะที่หากเลือกใช้แบบฉีดเลยตั้งแต่แรกเกิด วัคซีนโปลิโอ ชนิดฉีดจะถูกรวมเข็มไปกับวัคซีน คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก อยู่แล้ว
8. วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี (LAJE1) : มีสาเหตุมาจากการถูกพาหะนำโรคอย่างยุงรำคาญกัด และยังไม่มีวิธีรักษาโดยตรง เด็กไทยทุกคนจึงต้องได้รับวัคซีนชนิดฉีด 2 เข็ม โดยฉีดเข็มแรกมื่ออายุ 1 ปี และเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 3 - 12 เดือน ตามแต่ชนิดของวัคซีน
วัคซีนทางเลือก
โลกปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก เชื้อไวรัสเองก็มีการพัฒนาเช่นกัน ทำให้โรคร้ายก็มีความหลากหลายขึ้น ดังนั้นวัคซีนทางเลือกจึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเพื่อปกป้องลูกน้อยอย่างครอบคลุม
1. วัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก จากไวรัส EV71 : โรคยอดฮิตในวัยเด็ก ติดต่อได้โดยการสัมผัส และระบาดหนักในฤดูฝน ทำให้มีอาการไข้สูง เป็นแผลในปาก มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว ป้องกันได้ด้วยวัคซีนชนิดฉีด 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างจากเข็มแรก 1 เดือน เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี
2. วัคซีนตับอักเสบเอ : เชื้อไวรัสตับอัดเสบสามารถติดต่อผ่าน สารคัดหลั่ง ของผู้มีเชื้อ และสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้ เสริมภูมิให้ลูกน้อยด้วยวัคซีนชนิดฉีด 2 เข็ม เริ่มฉีดช่วงอายุ 1 ปีขึ้นไป และเข็มที่ 2 ห่างกัน 6 - 12 เดือน
3. วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ (IPD) : ลดความเสี่ยงในการเกิดปอดอัดเสบชนิดรุนแรง เยื่อหุ้มสมองกักเสบ และติดเชื่อในกระแสเลือด เนื่องจาก เชื้อนิวโมคอคัส ด้วยวัคซีนชนิดฉีด 3 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มที่ 1 เมื่ออายุ 2 เดือน เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน และเข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน ในปัจจุบันแนะนำเข็มกระตุ้น เข็มที่ 4 ที่อายุ 15 เดือน
4. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ : วัคซีนชนิดฉีดจำนวน 1 เข็ม ในทุกช่วงวัย (หากอายุน้อยกว่า 9 ปี จะฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน ในปีแรก หลังจากนั้นปีละ 1 เข็มตามปกติ) โดยเฉพาะเด็กเล็กและกลุ่มเสี่ยงสูง ควรฉีดวัคซีนป้องกัน ไข้หวัดใหญ่ ซ้ำเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ครอบคลุมสายพันธุ์ที่คาดว่าจะมีการระบาด และลดอาการรุนแรงเมื่อเจ็บป่วย
5. วัคซีนโรคสุกใส : ในกลุ่มคนทั่วไปอาจมีอาการไข้เล็กน้อยร่วมกับมีตุ่มใสตามร่างกาย แต่อาการของโรคอาจรุนแรงได้มากกว่าในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปีและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยปกติเด็กควรได้รับวัคซีนโรคสุกใสจำนวน 2 เข็ม เริ่มเมื่ออายุ 12 - 15 เดือน และเข็มที่ 2 โดยเว้นระยะห่างจากเข็มที่ 1 อย่างน้อย 6 เดือน
6. วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) : ช่วยลดความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก ได้ เริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป โดย ช่วงอายุ 9 -15 ปี ฉีดวัคซีนเพียง 2 ครั้งห่างกัน 6 - 12 เดือน หากอายุเกิน 15 ปี ฉีด 3 เข็ม โดย เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 - 2 เดือน และเข็มที่ 3 ฉีดหลังจากเข็มแรก 6 เดือน สามารถฉีดได้ในเด็กผู้ชาย เพื่อป้องกัน มะเร็งกล่องเสียง และ มะเร็งกล่องเสียงบางชนิดได้
ที่สำคัญอย่าลืมพกสมุดสุขภาพประจำตัวเด็กไปด้วยทุกครั้งที่เข้ารับวัคซีน เพราะสมุดสุขภาพเด็กจะทำให้กุมารแพทย์ประเมินภูมิคุ้มกันโรค และความต่อเนื่องของวัคซีนเด็กในแต่ละชนิดได้ง่าย
เกร็ดน่ารู้
หากเด็กเล็กมีไข้สูงหรือมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลันควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน เมื่อหายดีแล้วจึงค่อยเข้ารับการฉีดวัคซีน เว้นแต่มีอาการหวัดหรือท้องเสียเล็กน้อย แต่ต้องไม่มีไข้ร่วมด้วย หากเคยมีประวัติการแพ้ยาแพ้อาหารชนิดใด จำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้ง และเมื่อได้รับวัคซีนแล้วควรสังเกตอาการแพ้ยาเป็นเวลา 30 นาที หลังจากเข้ารับวัคซีน อาจมีอาการ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดวัคซีนให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบ หรือหากลูกน้อยมีไข้ ตัวร้อน หลังการรับวัคซีนสามารถให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ร่วมกับการเช็ดตัวลูกด้วยน้ำอุณภูมิปกติ และจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน
© 2024 Company, Inc