265 จำนวนผู้เข้าชม |
19/12/2023
ฝึกสมองให้ฟิตอยู่เสมอกับ 5 เคล็ดลับ ลับสมองให้คม
ความคุ้นเคยกับชีวิตประจำวันที่มีความจำเจ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนร่างกายเริ่มกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามสัญชาติญาตญาณบางครั้งก็กลายเป็นพิษร้ายที่ทำให้สมองไม่ได้ใช้พลังงานและได้รับการกระตุ้นที่มากเพียงพอ ส่งผลให้สมองเฉื่อยชาและเสื่อมลงจนอาจมีความเสี่ยงเป็น โรคอัลไซเมอร์ หรือภาวะหลงลืมก่อนวัยได้ ดังนั้น บทความนี้จะแนะนำวิธีการฝึกสมองผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ผ่าน ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่าน 5 เคล็ดลับแสนง่ายที่ทำได้ด้วยตนเอง
ภาวะสมองเสื่อม หรือ หลงลืมตามวัย?
สมองเสื่อม คือ ภาวะที่สมองมีประสิทธิภาพลดลงและค่อย ๆ สูญเสียประสิทธิภาพในการทำงานแต่ละส่วนอย่างช้า ๆ มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป แต่ก็เกิดในวัยหนุ่มสาวช่วงอายุ 30-65 ปี ได้เช่นกัน สัยญาณแรกเริ่มอาจเกิดจากการหลงลืมชั่วขณะ คิดคำพูดไม่ออก วางของผิดที่ผิดทาง หรือมีปัญหาในการลำดับเวลาและทิศทาง เป็นต้น ซึ่งอาจยังไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน หลายคนจึงมักละเลยกับอาการเหล่านี้จนไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย โดย ภาวะสมองเสื่อม กับ ภาวะหลงลืมตามวัย ก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งสามารถแยกได้ ดังนี้
· ภาวะสมองเสื่อมที่นำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ : ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมอาจไม่มีเพียงอาการหลงลืมเท่านั้น แต่จะมีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัวจึงต้องได้รับการสังเกตจากบุคคลรอบข้าง เช่น การมีความเครียด เริ่มมีนิสัยแยกตัวออกจากสังคม บุคลิกภาพเปลี่ยนไป ไม่สามารถกะระยะการมองได้ปกติหรือไม่สามารถแยกความต่างของสีได้ สื่อสารไม่ได้ใจความ และหลงลืมเรื่องง่าย ๆ เช่น สถานที่ที่เพิ่งไปมาหรือเหตุการณ์ในวันสำคัญ
· ภาวะหลงลืมตามวัยทั่วไป : ระบบสมองเองก็ถดถอยตามช่วงวัยเหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกาย และเห็นได้ชัดเจนที่สุดในผู้สูงอายุผ่านอาการหลงลืม แต่ภาวะหลงลืมตามวัยนั้นแตกต่างจากภาวะสมองเสื่อมคือการที่เมื่อได้หยุดคิดสักระยะแล้วยังคงสามารถจดจำเรื่องนั้น ๆ ได้ และยังคงจำวันสำคัญต่าง ๆ ได้ สามารถปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ตามปกติ และมีอาการหลงลืมให้พบเห็นบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งเกิดจากการขาดสมาธิขณะที่กำลังทำกิจกรรมไม่นับเป็นภาวะสมองเสื่อม การบำบัดด้วยกิจกรรมเสริมสร้างสมาธิจึงมีส่วยช่วยชะลอภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้
5 เคล็ดลับฝึกสมองที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง
1. ฝึกสมองผ่านสายตา เมื่อมองภาพเดิมเป็นประจำทุกวัน ไม่นานสมองของเราจะใช้วิธีกวาดสายตาเพื่อมองสิ่งต่าง ๆ แทนที่การโฟกัสอย่างพินิจพิเคราะห์ ฉะนั้นเราควรฝึกด้วยการมองของที่เห็นอยู่ในทุกวันผ่านมุมมองกลับด้านจากปกติ เช่น การมองภาพวาดที่ตั้งกลับหัวลง การมองของเราจะกลายเป็นมุมมองใหม่ที่ต้องใช้การมองอย่างละเอียด ให้สมองได้ตีความ หรือการฝึกสายตาด้วยเกมจับผิดภาพก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกัน
2. ฝึกสมองผ่านจมูก สมองของเรามักจดจำกลิ่นที่คุ้นเคยได้ทุกรายละเอียด เช่น น้ำหอมกลิ่นโปรด กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มบนหมอนหรือเสื้อผ้า กลิ่นของเครื่องดื่มรสโปรด หากเราลองเปลี่ยนกลิ่นต่าง ๆ เหล่านี้เป็นกลิ่นอื่น จมูกที่รับกลิ่นของเราก็จะกระตุ้นให้สมองจดจำกลิ่นใหม่ ๆ เช่นกัน ดังนั้นหากต้องการใช้วิธีฝึกสมองด้วยจมูกดมกลิ่น เราควรลองเปลี่ยนกลิ่นรอบตัวของตนเองทุกสัปดาห์เป็นอย่างน้อย
3. ฝึกสมองผ่านการอ่านออกเสียง หากกล่าวว่าการอ่านนั้นคือพลังในการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ การอ่านออกเสียงก็มีพลังในการจดจำและเรียนรู้ได้มากกว่า เพราะการอ่านออกเสียงจัดเป็นการปล่อยให้สมองทั้ง 2 ส่วน คือ สมองส่วน Wernick’s area (ส่วนที่ควบคุมความเข้าในภาษาและคลังคำศัพท์) และ Broca’s area (ส่วนควบคุมการพูดและการออกเสียง) ได้ทำงานประสานกันอย่างเต็มที่
4. ฝึกสมองผ่านลิ้นชิมรส ท้าทายต่อมรับรสด้วยการลองอาหารรสชาติแปลกใหม่ หรือการพยายามระบุส่วนผสมที่ใช้ในการปรุงอาหารแต่ละมื้อ เป็นโอกาสในการทดลองสร้างสรรค์ปรุงอาหารเมนูใหม่ โดยไม่ยึดตำราสูตรเดิม ๆ ก็เป็นการพัฒนาสมองซีกขวา (Right hemisphere of cerebrum) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมความสามารถทางด้านศิลปะ ได้เช่นกัน
5. ฝึกสมองผ่านการสัมผัส การใช้ชีวิตประจำวันซ้ำไปมาทำให้สมองที่สั่งการขาดแรงกระตุ้น การ ฝึกสมองผ่านการสัมผัส เช่น การทำกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ ด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด อย่างการแปรงฟัน ตักอาหาร หรือการเล่นเกมที่ต้องใช้มือ นิ้วมือหรือข้อพับด้วยมืออีกข้าง เช่น การเล่นเป่ายิงฉุบ การทำท่ากำแบ เป็นต้น
อาการหลงลืมในช่วงแรก ก็เป็นสัญญาณเตือนให้เราหันมาใส่ใจระบบประสาทหรือสมองของเรามากขึ้น และช่วงเริ่มแรกในการฝึกสมอง อาจยังมีหลายสิ่งที่ไม่คุ้นชิน อาจกุกกักและไม่ราบรื่น แต่เริ่มฝึกสมองวันละนิดก็ช่วยให้สมองได้เกิดการกระตุ้นและพัฒนายิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน เพื่อให้สมองเราสดใสและจดจำคนที่เรารักไปได้นาน ๆ
© 2024 Company, Inc